เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒ ก.ย. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาคนเกิดมานะ มันต้องมีเหตุมีปัจจัย เวลาเกิดมา เราเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่...แต่ความจริงเราเกิดมาจากกรรม!! เราเกิดมาเป็นคนดี เห็นไหม อภิชาตบุตร สว่างมา... สว่างไป เวลาสว่างมานี่ เราเกิดมากตัญญูกตเวที เราเห็นคุณพ่อแม่ เราเห็นคุณปู่ ย่า ตา ยาย ในชาติในตระกูลของเรา มีความรักใคร่ มีความผูกพันกัน

มีความรักใคร่ มีความผูกพันเห็นไหม มันมีเหตุมีปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย สิ่งที่มาเกิดนี่ ปฏิสนธิจิตมาเกิดในไข่ เกิดในครรภ์ เกิดในน้ำคร่ำ มาเกิดเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูกกันน่ะ นี่ไง สายบุญ สายกรรม

“สายบุญ สายกรรม” มันห่วงหาอาลัยอาวรณ์ต่อกัน สิ่งที่ห่วงหาอาลัยอาวรณ์ต่อกัน สิ่งนี้มันผูกพันกันมา ความผูกพันกันมานะ นี่พันธุกรรมทางจิต ถ้าจิตมันดีนะ เกิดมาเรากตัญญูกตเวที เราทำคุณงามความดีของเรานะ แต่คุณงามความดี มันความดีของใครล่ะ

ความดีมันมีหยาบ มีกลาง มีละเอียด ความดีหยาบ ๆ เห็นไหม ความช่วยเหลือเจือจานกันก็เป็นความดีนะ แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เช่น หลวงปู่มั่นนี่ ท่านดุ ท่านเอ็ด เวลาดุ เวลาเอ็ดน่ะ เป็นความดีไหม มันดุ มันเอ็ดเพื่ออะไรล่ะ... เพื่อให้เราปล่อย... สิ่งใดพันธุกรรมทางจิต ความดีของเรามันยึดมั่นถือมั่นน่ะ ความดีแบบขี้ ขี้น่ะ! เอาใส่ปุ๋ยนะ เขาเอามาใส่ปุ๋ย เขาเอามาทำประโยชน์ได้เห็นไหม

มันมีบุคคล ๒ คน เดินทางไกลด้วยกันทั้งคู่ คนหนึ่งเวลาออกไป แล้วกลับมา จะแบกปุ๋ยมา แบกขี้มา...พอถึงกลางทาง เขาเจอเงิน เขาทิ้ง ก็แบกเงินมา ...ไปถึงปลายทาง เขาเจอทอง เขาทิ้งเงิน เขาแบกทองมา...

ไอ้คนที่แบกขี้มานะ มันแบกมาตั้งแต่ต้นน่ะ! มันแบกมาตั้งแต่ต้นทาง มันบอกว่ามันแบกมาไกล มันมีคุณประโยชน์มากไง... แล้วพอไปถึงกลางทางฝนมันตก พอฝนตก น้ำฝนมันชะ...ขี้นะ!ไหลเต็มตัวเลย!! นี่ไง มันบอกว่า “ไปถึงบ้านนะ ภรรยาโกรธมาก” ข้างบ้านเขาไปมาด้วยกัน อีกคนกลับมานะ เขามีทองคำมาเป็นประโยชน์กับเขา อีกคนมานะ มันแบกขี้มันมา มันแบกมาอย่างเก่า

ครูบาอาจารย์ท่านเคาะ ท่านเตือน จะให้มันทิ้งขี้อันนั้น ถ้าขี้อันนั้นนะ “ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง” หลงตัวเองไง หลงว่าความคิดตัวเองมันถูกต้องไง ไอ้ความคิดความเห็นของตัวเอง เพราะไอ้ความคิด ความเห็นของตัวเองนี่ไง มันถึงพาให้เรามาเกิดอยู่นี่ไง ไอ้ที่มาเกิด มาทุกข์มายากอยู่ ก็ไอ้ความเห็นของตัวเรานี่แหละ

แล้วนี่ความคิด ความเห็นของเรา เราเกิดมาสามัญสำนึกใช่ไหม ไอ้ความคิดความเห็นนี่ มันก็เป็นพื้นฐาน พอเป็นพื้นฐาน เพราะสัญชาตญาณ ความคิด ปฏิภาณไหวพริบของคน มันเป็นพื้นฐาน พอเป็นพื้นฐานขึ้นมาแล้วนี่ มันมีสิ่งใดที่ดีขึ้นเราต้องพัฒนาสิ เราต้องพัฒนา เราต้องวาง ความดีหยาบ ๆ ความดีอย่างกลาง ความดีอย่างละเอียด ละเอียดสุด มันยังมีไปข้างหน้าเห็นไหม ความดีมันก็พัฒนา

ถ้าพัฒนาขึ้นมา ...ปุถุชน กัลยาณปุถุชน... ดูสิ เวลาเราทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำนี่ เราว่าเราทุกข์เรายาก เวลาครูบาอาจารย์ท่านนั่งสมาธิภาวนา นั่งหลับตาเฉย ๆ นะ “หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธนะ” มันทำไม่ได้! เวลางานทุกข์ยาก โหย...ว่าลำบาก เวลาให้นั่งเฉย ๆ นี่ กำหนดพุท หายใจเข้า หายใจออก ถ้าหายใจเข้า และหายใจออก มันมีสติปัญญามันอยู่ หายใจนั้นจะเป็นประโยชน์มาก

เวลาในปัจจุบันนี่ เราก็หายใจทุกวันนะ หลวงปู่ฝั้นท่านบอกเลยน่ะ “เราหายใจทิ้งเฉย ๆ หายใจเข้า และหายใจออก ทิ้งไปเปล่า ๆ” ทิ้งไปเฉย ๆ แค่เอาออกซิเจนเข้าไปฟอกโลหิตเท่านั้นเอง แค่เอาออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงสมอง เพื่อความดำรงชีวิตเท่านั้นเอง แต่ถ้าเรามีสติปัญญา หายใจเข้าก็มีสติ หายใจออกก็มีสติ สติปัญญามันมีขึ้นมานี่ มันจะมีความสงบเย็นในหัวใจขึ้นมา พอสงบ ...หัวใจเย็นขึ้นมานะ...

มือเราเป็นแผลนะ เราไม่รู้ว่ามือเราเป็นแผล เราเที่ยวจับนู่น จับนี่ไปนะ แผลมันก็อักเสบไปอยู่เรื่อย

หัวใจมันมีความทุกข์ความยากของมัน มันก็คิดของมันไปตลอด เราก็ไม่รู้หรอกว่าเราคิด เราทำอะไรของมันไป เหมือนมือมีแผล มันจับต้องสิ่งใดไป มันจะอักเสบของมันไปตลอดเวลา มีความเจ็บ มีความรู้สึกตลอดเวลา

จิตก็เหมือนกัน มันคิด มันทุกข์ มันยากของมันไปตลอดเวลานั่นนะ พอเรากำหนดลมหายใจเข้า และลมหายใจออก มือเรารักษาแผลของเรา ถ้ารักษาแผลของเรา พอมือมันเป็นปกติ มือไม่มีแผล มันจับต้องสิ่งใด มันจับได้เต็มไม้เต็มมือ แล้วมันทำงานได้ประโยชน์ขึ้นมานะ

จิตใจของคน ถ้ามันสงบระงับเข้ามา มันจะรู้จักตัวมันเองนะ เวลามือเราอักเสบ เรามีความเจ็บปวด เรารู้นะ เวลามือเราหายปกติ เราไม่รู้นะ มือปกติเราไม่เห็นคุณค่าอะไรมันเลย นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตมันสงบขึ้นมา จิตมันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมานี่ เราไม่เห็นคุณค่าของมันเลย ทั้ง ๆ ที่เป็นความดีนะ

แต่เวลามันเจ็บ มันอักเสบ ชอบนะ เอ่อ... มันคิด มันเจ็บช้ำน้ำใจ โอ๊ย! มันทุกข์ มันยาก โอ๊ย! มันดีเนาะ เวลามือมันอักเสบ มือมันเจ็บ มันปวด เอ่อ... กลับดีนะ พอมือมันปกติขึ้นมา ไม่ดี! ไม่ดีเลย! มันไม่มีอะไรขึ้นมา ความสุขเศร้ากับความสงบไม่มี

เรานี่หยาบกัน จนไม่รู้ว่าสงบหรือไม่สงบ ยังไม่รู้จักมันไง เวลาจิตมันจะสงบ จิตมันจะมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา ยังไม่รู้จักอ่ะ แต่เวลามันเจ็บช้ำน้ำใจ เวลามันมีอะไรกระทบ พอใจนะ พอใจกับความเจ็บช้ำน้ำใจอันนั้น เห็นไหม

แบกขี้มา! แบกขี้มา! ไม่ยอมทิ้งขี้... ถ้ามันแบกขี้มา พอไปเจอเงิน มันทิ้งขี้เอาเงิน... พอไปข้างหน้า มันทิ้งเงินเอาทอง... มันทิ้งของมันไปเรื่อย มันพัฒนาของมันไปเรื่อย เราจะเห็นของเราไปเรื่อย เราจะพัฒนาของเราไปเรื่อย เราจะรู้จักนะ ถ้าเราไม่รู้จัก เราไม่พัฒนาของเรา มันก็จะอยู่อย่างนี้

สายบุญ สายกรรมไง นี่ไง พันธุกรรมทางจิต ความคิด ความเห็นของเรานี่ มันเป็นจริตนิสัย จริตนิสัยนี่มันให้ความทุกข์เรานะ นี่ไง ถ้าสิ่งใดไม่ตรงกับความพอใจของเรา ไม่ตรงกับความรู้ความเห็นของเรานี่ มันบอกว่าสิ่งนั้นไม่ดี พอสิ่งนั้นไม่ดี มันก็เป็นตามธรรมชาติของมัน

ต้นไม้ใบหญ้า เวลามันจะงอกขึ้นมา โอ้โฮ...ต้นไม้นี่สวยเนาะ... ต้นไม้นี่ให้ความร่มเย็นเป็นสุขกับเราเนาะ... เวลาจิตมันไม่ดี ต้นไม้นี่มันบังแสง ต้นไม้นี่มันไม่ดีอะไรสักอย่างเลย มันจะโค่นทิ้งน่ะ

เวลาจิตมันดี ต้นไม้มันมองมีคุณประโยชน์กับเราหมดเลย มันให้ออกซิเจนกับเรานะ มันดูดคาร์บอนไดออกไซด์เนาะ มันให้ประโยชน์กับเราเนาะ นี่ถ้าจิตมันดี มันคิดดีไปทั้งนั้นล่ะ

แต่ถ้าจิตมันไม่ดี ต้นไม้ก็ต้นเก่านั่นแหละ เรือกสวนไร่นามันก็อันเดิมนั่นแหละ มันขวางหูขวางตาไปหมดเลย เวลาจิตมันไม่ดีเห็นไหม

ถ้าจิตมันดีล่ะ จิตที่มันพัฒนาไปแล้วนี่ มันจะรู้เหตุรู้ผลของมัน สิ่งนั้นมันก็เป็นสิ่งนั้นน่ะ อารมณ์ความรู้สึกนะ อารมณ์ความรู้สึกไม่ใช่จิต ขันธ์ ๕ ไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ขันธ์ ๕ มันเกิดกับเราตลอดเวลา แต่กิเลส ความไม่รู้เท่ามันน่ะ ความรู้สึกนึกคิดนี่ มันออกไปยึดไว้มั่น

ไปยึดมั่นนะ กูแน่... กูดี... กูถูก... กูอยู่นั้นน่ะ ไอ้กูนั้นนะ! มันทำให้มึงเกิดมึงตายมากี่ภพกี่ชาติแล้ว!! ไอ้ความคิดก็คือความคิด ไอ้กูนี่ ไอ้ตัวยึดมั่นถือมั่นนะ ไอ้ตัวเรานั่นนะ นั่นนะทิฏฐิมานะ แต่ถ้ามันมีสติปัญญาขึ้นมานะ กูก็คือกูนี่แหละ แต่ความคิดความเห็นนะ มันผิดหรือมันถูก ทำไปแล้วมันเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์

ถ้ามันเป็นประโยชน์ขึ้นมานะ ดูสิ เราเป็นชาวพุทธ ประเพณีวัฒนธรรมเราให้เสียสละ ให้เราเจือจานกัน ให้อภัยต่อกัน ยิ้มแย้มแจ่มใสต่อกัน ยิ้มสยาม ยิ้มออกมาจากหัวใจ เพราะอะไร เพราะอริยสัจ เพราะสัจจะความจริงเห็นไหม

นี่ “ชาติปิ ทุกขา” ชาติความเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เรามีชาติความเกิด ความเกิดนี่เป็นอนิจจัง ทุกอย่างมันอนิจจัง มันเข้าใจชีวิต เข้าใจสัจธรรม นี่มันเข้ามาจากหัวใจนะ มันเป็นอย่างนี้เห็นไหม มันไม่นึกยึดเป็นอัตตา เป็นตายตัวว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นตลอดไป

ถ้ายึดอัตตาตายตัวนี่ มันก็มีทิฏฐิมานะขึ้นมา แต่เรารู้ว่ามันมีจริงตามสมมุติ เราเกิดมาโดยกรรม เราเกิดมีชีวิตขึ้นมาเห็นไหม แล้วเราก็จะต้องตายจากกันไป เราให้อภัยต่อกัน เราอยู่ด้วยกัน ด้วยความสมานสามัคคีต่อกัน

ไอ้เวรกรรมน่ะ มันเป็นความคิดของเขา ใครทำเวรทำกรรมน่ะ คนนั้นได้เวรได้กรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ใครทำสิ่งใดมันก็เป็นผลจากใจดวงนั้น เจตนาอันนั้น ภพอันนั้น มันรับของเขาไป

เราก็ทำความดีของเรานะ เราก็ให้อภัยกับเขา เขาจะรู้จักว่าให้อภัย หรือไม่ให้อภัยมันก็เรื่องของเขา มันเรื่องของเขาจริง ๆ นะ! เพราะเรารับผิดชอบชีวิตของเราเองนะ เราจะเกิดของเรา เราเกิดมาแล้วเราพัฒนาตัวของเรา แล้วเราก็จะตายของเราไปนะ นี่เราจะรับผิดชอบชีวิตของเรา เราจะพัฒนาชีวิตของเรา

แต่ในเมื่อเป็นสังคม แล้วอยู่ด้วยกันใช่ไหม นี่ถ้ามันเตือนได้มันก็เตือน เตือนไม่ได้เราก็อุเบกขา เห็นไหม พรหมวิหาร ๔ ของผู้บริหารนะ ถ้าไม่มีพรหมวิหาร ๔ นะ เราต้องการให้สีดำเป็นสีขาว แล้วเราก็พยายามจะทำให้มันเป็นสีขาว แล้วมันก็เป็นไปไม่ได้! โอ๊ย.. ทุกข์ตายห่าเลย!! เพราะอะไร เพราะไม่อุเบกขา

แต่ถ้าเรามีอุเบกขา เราต้องการให้สีดำเป็นสีขาว เราก็พยายามทำของเรา มันเป็นเทา ๆ ก็ โอ้โฮ.. ความสามารถของเรามีเท่านี้เนาะ เราก็พอใจ ถ้าคนมีความสามารถมาก ทำสีดำให้เป็นจุดสีขาวให้ได้ โอ้.. เราก็มีความสามารถมากขึ้นเนาะ เราก็ดีกว่าเขาเนาะ เราทำขึ้นมามันก็เป็นประโยชน์กับเราแล้วนะ สีขาวก็เป็นสีขาว

นี้เจตนาของเรา ถ้าเรามีเจตนา เราทำคุณงามความดีของเรา เราต้องมีเจตนาของเรา แต่มันจะประสบความสำเร็จหรือไม่ประสบความสำเร็จ มันมีตัวแปร มันมีปัจจัย มันมีปัจจัยตัวแปรอีกมหาศาลเลย แต่เราก็พยายามของเรา เราทำให้ถึงที่สุดของเรา เราต้องมีเป้าหมายของเรา

คำว่าเป้าหมายนะ “อธิษฐานบารมี” ถ้าไม่มีเป้าหมาย ไม่มีอธิษฐานบารมี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาไม่ได้หรอก เวลาเราจะสร้างบุญญาธิการ เราปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระโพธิสัตว์ เขาสร้างบุญสร้างกรรมมา ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย เขาสร้างของเขามา เขาทำของเขามา เขาสร้างของเขามามหาศาล นี่เพราะมีเป้าหมาย พอมีเป้าหมาย ก็มีการกระทำ

นี่ก็เหมือนกัน เรามีเป้าหมายว่า เพราะสิ่งที่เราเผชิญอยู่ข้างหน้ามันเป็นความทุกข์ เป็นสัจจะ เป็นความจริง ถ้าเกิดก็ทุกข์ ถ้าที่ไหนมีการเกิดที่นั่นมีความทุกข์ ที่ไหนมีเหตุที่นั่นมีปัจจัย ที่ไหนมีภพ กิเลส อวิชชามันมีที่อาศัย มันก็ต้องเกิดเป็นธรรมชาติอย่างนี้ สัจธรรมมันเป็นอย่างนี้ วัฏฏะมันเป็นอย่างนี้

เราเป็นส่วนหนึ่งของวัฏฏะ แต่เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนถึงการกระทำ รื้อค้น ทำลายภพ ทำลายวัฏฏะ ทำลายสถานที่ปฏิสนธิจิตที่มันไปเกิด เห็นไหม วัฏฏะ เกิดในสถานะที่มันเป็นมิติ เป็นความเกิดในสถานะ แต่มันมีอวิชชา มันมีตัวจิต มันมีพลังงาน ไอ้ที่มันมาเกิดตัวนี้ นี่ธรรมะสอนอย่างนี้

แล้วถ้าเรามีเหตุมีปัจจัยขึ้นไป เราแก้ไขของเราขึ้นไป เห็นไหม เขาบอกว่าชีวิตมีเพราะมีเรา แล้วเขาก็ฆ่าตัวตายกันนะ บอกว่าให้ไม่มีเรานะ มันฆ่าตัวตาย แต่มันฆ่าความรู้สึกไม่ได้

แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น มีเราเพราะมีทิฏฐิมานะ มีความยึดมั่นถือมั่น ไอ้ความยึดมั่น พอพระอรหันต์เห็นไหม ครูบาอาจารย์เราเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้ว ไม่มีภพ ไม่มีสิ่งใด ๆ เลย ทำลายหมดเลย แต่ยังมีลมหายใจ ยังมีชีวิตนะ ยังด่าเราได้นะ ท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านยังด่าเราเจ็บ ๆ ด้วย มีอยู่...มันมีอยู่...ของมันมีอยู่

แต่พอมันทำลายภพ ทำลายชาติ ทำลายทิฏฐิมานะแล้ว มีอยู่ทั้งนั้น มันถึงมีวิมุตติไง มันมีวิมุตติสุข มันสุขอย่างยิ่ง สุขที่ไม่เวียนตายเวียนเกิดไง ไอ้สุข...เราสุข ทุกข์มันทุกขเวทนาเห็นไหม มันสุขเวทนา ทุกขเวทนา มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา มันเป็นอนิจจัง พอถึงที่สุดทำลายแล้วนี่ วิมุตติสุข ไม่มีอะไรเลย

มี! เพราะความรู้สึกนั้นมันได้ทำลายภพชาติ แต่เราบอกมีทุกข์เพราะมีเราใช่ไหม เพราะมีเรามันถึงมีความทุกข์นะ เชือดคอตาย ทำลายตัวเองกัน... แล้วมันก็ทำลายไม่ได้ เพราะมันทำลายความรู้สึกไม่ได้ แต่ “มรรคญาณ” มันทำลายความรู้สึก ทำลายภพ ทำลายชาติ ทำลายทุกๆ อย่างหมด

พอทำลายเสร็จแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ้นกิเลสแล้ว ยังมีชีวิตอยู่อีก ๔๕ ปี สิ่งที่เป็นพระอรหันต์แล้วมีชีวิตอยู่เห็นไหม ชีวิตนั้นคืออะไร ธาตุขันธ์นั้นคืออะไร

สอุปาทิเสสนิพพาน เศษส่วนเศษทิ้ง และอนุปาทิเสสนิพพาน เวลาสิ้นเวลาตายไป มันละภพละชาติ เวลากิเลสตาย เวลาฆ่ากิเลส สิ่งนี้เวลากิเลสถึงซึ่งกิเลสนิพพาน เวลาพระอรหันต์เสียชีวิต ถึงซึ่งขันธนิพพาน ขันธ์มันทิ้งหมด กิเลสนิพพาน เวลาทิ้งไปมันถึงที่สุดเห็นไหม

นี่มันเกิดจากเรามีสติปัญญา เราเป็นชาวพุทธ พันธุกรรมทางจิต ความรู้สึก ความนึกคิด เรามีเหตุมีผล เราพัฒนาขึ้นไป เราต้องทิ้งมัน ทิ้งความคิดหยาบ ๆ ความดีหยาบ ๆ ถ้าความดีหยาบ ๆ เราทิ้งไม่ได้ เราจะเอาเปลือกไม้ เราจะเอาแก่นไม้ ถ้าเราไม่ถากเปลือกออก กระพี้ออก เราจะไปเอาแก่นไม้นั้นไม่ได้

ความนึกคิดของเราถ้ามันหยาบ ๆ เราต้องพัฒนา เราต้องแก้ไขของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา แล้วพัฒนาแก้ไขของเราไปแล้วนะ มันจะเป็นแก่น เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์กับเรา ชีวิตนี้ก็เหมือนกัน ถ้าใครมีสติมีปัญญา แล้วใช้ปัญญาคิดเข้าไปนะ มันจะเห็นเอง พอมันเห็นเองนะ โอ้โฮ.. มันซึ้งใจมาก

แต่เวลาคนอื่นบอกมันไม่ยอมรับหรอก มันว่ากระพี้นี้เป็นแก่น ก็แก่นของกูอ่ะ! ก็แก่นของกูอ่ะ! ก็ทิฏฐิมานะไง แต่ถ้าเรารู้เราเห็น มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ โดยข้อเท็จจริง โดยวิทยาศาสตร์ ...กระพี้ก็คือกระพี้ มันจะเป็นแก่นไปไม่ได้หรอก... แก่นก็คือแก่น ไม่ใช่กระพี้หรอก แต่คนรู้หรือไม่รู้เท่านั้นเอง

ถ้าคนรู้แล้วมันก็แก้ไขได้ เราตั้งสติของเรา เพื่อประโยชน์กับเรานะ ปัญญามันจะเกิดกับเรา พุทธศาสนาสอนที่นี่ สอนให้เอาชนะตนเอง ไม่ได้สอนให้เอาชนะคนอื่นเลย ไม่ได้ให้เอาชนะใครทั้งสิ้น สอนให้เอาชนะตนเอง

กิเลสของเรา ความเห็นของเรา ทิฏฐิมานะของเรา มันหลอกเราอยู่นี่ แล้วคนเขามองเราอยู่ เขาเห็นเขารู้นะ แต่ตัวเองไม่รู้ แต่คนมองมาหาเรารู้ เพราะพฤติกรรม การแสดงออกมันฟ้อง แต่พูดถึงถ้าเรารู้ขึ้นมาแล้วนะ เราก็จะละอายใจ แล้วเราจะแก้ไขเรา เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง